'เมืองฟองน้ำ' (Sponge City) แนวคิดรับมืออุทกภัยของเมืองใหญ่ทั่วโลก
แนวคิดเมืองฟองน้ำกำลังเป็นทางออกใหม่ในการจัดการน้ำท่วมเมืองที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกเดือด เมืองฟองน้ำไม่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการ ตอบโจทย์ทั้งด้านการจัดการน้ำ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตในระยะยาว
หลักการทำงานของเมืองฟองน้ำ
เมืองฟองน้ำออกแบบให้เมืองสามารถดูดซับ กักเก็บ ชะลอ และใช้ประโยชน์จากน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะระบายทิ้งทันที เสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำไว้และค่อยๆ ปล่อยออกมา โดยใช้หลักการของธรรมชาติในการจัดการน้ำ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน และสร้างความยืดหยุ่นให้กับเมืองในการรับมือกับสภาพอากาศแปรปรวน
เทคนิคสำคัญในการพัฒนาเมืองฟองน้ำ
  • หลังคาเขียว (Green Roofs) - ปลูกพืชบนหลังคาอาคาร ช่วยดูดซับน้ำฝนและลดความร้อนในเมือง
  • สวนน้ำฝน (Rain Gardens) - พื้นที่สีเขียวที่ออกแบบให้รับน้ำฝนและช่วยกรองมลพิษ
  • พื้นผิวซึมน้ำ (Permeable Surfaces) - ถนนและทางเท้าที่น้ำสามารถซึมผ่านได้
  • แอ่งกักเก็บน้ำชั่วคราว (Detention Ponds) - พื้นที่รับน้ำในช่วงฝนตกหนัก
  • คลองชีวภาพ (Bioswales) - คูระบายน้ำที่มีพืชช่วยดูดซับและกรองน้ำ
กรณีศึกษาเมืองฟองน้ำทั่วโลก
จีนเป็นผู้นำในการพัฒนาเมืองฟองน้ำ โดยมีเป้าหมายให้ 80% ของพื้นที่เมืองในประเทศสามารถดูดซับและนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ได้ ขณะที่สิงคโปร์พัฒนาโครงการ "Active, Beautiful, Clean Waters" (ABC Waters) เปลี่ยนคลองระบายน้ำเป็นพื้นที่สาธารณะที่สวยงามและรักษาคุณภาพน้ำ ในเนเธอร์แลนด์ โครงการ "Room for the River" เปิดพื้นที่ให้แม่น้ำท่วมได้ตามธรรมชาติ ส่วนโคเปนเฮเกนในเดนมาร์กใช้สวนสาธารณะเป็นพื้นที่รับน้ำฝนขนาดใหญ่
ประโยชน์ที่ได้รับนอกเหนือจากการป้องกันน้ำท่วม
เมืองฟองน้ำไม่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังมีประโยชน์มากมาย ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ช่วยลดปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง ปรับปรุงคุณภาพอากาศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ประหยัดน้ำโดยการนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ สร้างพื้นที่นันทนาการ และส่งเสริมสุขภาพกายและใจของผู้อยู่อาศัย
แม้ว่าการพัฒนาเมืองฟองน้ำจะมีต้นทุนสูงในระยะเริ่มต้น แต่เมื่อเทียบกับค่าเสียหายจากน้ำท่วมและประโยชน์ที่ได้รับในระยะยาว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับเมืองที่ต้องการความยั่งยืนในอนาคต
ภาวะโลกเดือดกับวิกฤตน้ำท่วมเมือง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อเมืองทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่ทวีความรุนแรงขึ้น เมืองหลายแห่งต้องเผชิญความท้าทายในการรับมือกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าที่เคย
อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น
ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าหากไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียสภายในปี 2100
ฝนตกหนักขึ้น
ทุก 1 องศาเซลเซียสที่อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ทำให้ฝนตกหนักขึ้น 15% และตกในบริเวณที่แคบลง อากาศที่อุ่นขึ้นทำให้มวลอากาศสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดพายุฝนรุนแรงและฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่โดยรอบ (Urban Heat Island Effect)
น้ำท่วมเมืองรุนแรง
ปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองเกิดถี่และรุนแรงขึ้น คาดการณ์ความเสียหายสูงถึง 59 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2050 เมืองใหญ่ทั่วโลกกว่า 570 เมืองกำลังเผชิญกับความเสี่ยง โดยเฉพาะเมืองชายฝั่งทะเลและเมืองที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ประชากรกว่า 1.6 พันล้านคนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทุกปี
วิธีการแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอ
การสร้างเขื่อน กำแพงกั้นน้ำ และท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ มีต้นทุนสูง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และไม่ยั่งยืน โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มักถูกออกแบบตามข้อมูลสถิติในอดีต ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สุดขั้ว (Extreme Events) บ่อยครั้งขึ้น อีกทั้งยังทำให้น้ำไหลเร็วขึ้นและสร้างปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ท้ายน้ำ
การพัฒนาเมืองเพิ่มความเสี่ยง
การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่ซึมน้ำลดลง พื้นที่ธรรมชาติถูกแทนที่ด้วยคอนกรีตและยางมะตอย น้ำฝนจึงไม่สามารถซึมลงดินได้และไหลบ่าบนผิวดินในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและระบบระบายน้ำไม่สามารถรองรับได้ เมืองทั่วโลกมีพื้นที่ไม่ซึมน้ำ (Impervious Surface) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
ต้องการแนวทางใหม่ที่ยั่งยืน
เมืองทั่วโลกกำลังมองหาวิธีการใหม่ในการจัดการน้ำท่วมที่ยั่งยืนกว่าเดิม โดยเน้นการทำงานร่วมกับธรรมชาติแทนการต่อสู้กับธรรมชาติ แนวคิดการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น นำไปสู่การพัฒนาแนวคิด "เมืองฟองน้ำ" ที่กำลังได้รับการยอมรับทั่วโลก
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วกำลังสร้างความท้าทายใหม่ในการจัดการน้ำท่วม เราไม่สามารถพึ่งพาวิธีการแบบเดิมได้อีกต่อไป จำเป็นต้องมีแนวทางที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และทำงานร่วมกับธรรมชาติ แนวคิด "เมืองฟองน้ำ" จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ
เมืองฟองน้ำคืออะไร?
เมืองฟองน้ำ (Sponge City) เป็นแนวคิดการพัฒนาเมืองที่ได้รับความสนใจในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการจัดการน้ำในเขตเมือง โดยมีจุดกำเนิดจากประเทศจีนในปี 2013 และได้ขยายแนวคิดไปทั่วโลก
แนวคิดการออกแบบเมือง
เมืองฟองน้ำเป็นแนวคิดการออกแบบและพัฒนาเมืองที่มุ่งให้เมืองสามารถปรับตัว รับมือ และอยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างยั่งยืน แทนที่จะพยายามผลักดันน้ำออกไปโดยเร็วที่สุด เมืองฟองน้ำจะพยายาม "กักเก็บ ชะลอ ดูดซับ กรอง ใช้ และระบาย" น้ำฝนอย่างเป็นระบบ
เพิ่มพื้นที่ซึมน้ำ
เพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ซึมน้ำให้มากที่สุด เช่น สวนหลังคา ถนนฟองน้ำ หรือสวนฝน เพื่อดูดซับ กักเก็บ และระบายน้ำส่วนเกิน รวมถึงการออกแบบพื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้ การสร้างแอ่งกักเก็บน้ำชั่วคราว และการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับน้ำและลดการไหลบ่าของน้ำบนผิวดิน
ใช้ประโยชน์จากน้ำ
น้ำที่ถูกดูดซับและกักเก็บสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาด หรือเป็นแหล่งน้ำสำรอง ช่วยลดการใช้น้ำประปาและประหยัดทรัพยากรน้ำ ระบบการจัดเก็บน้ำใต้ดินสามารถนำน้ำมากรองและใช้ในช่วงหน้าแล้งได้อีกด้วย
เทคโนโลยีสีเขียว
เมืองฟองน้ำใช้โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure) แทนโครงสร้างพื้นฐานสีเทาแบบดั้งเดิม เช่น ระบบท่อระบายน้ำและเขื่อน เทคโนโลยีเหล่านี้รวมถึงสวนฝน (Rain Gardens) คูน้ำชีวภาพ (Bioswales) และพื้นที่ชุ่มน้ำ (Constructed Wetlands) ที่ช่วยกรองมลพิษและดูดซับน้ำ
ตัวอย่างความสำเร็จ
หลายเมืองทั่วโลกได้นำแนวคิดเมืองฟองน้ำไปใช้ เช่น เมืองอู่ฮั่นในจีนสามารถดูดซับน้ำฝนได้ถึง 70% แม้ในพายุรุนแรง เมืองโคเปนเฮเกนในเดนมาร์กมีสวนสาธารณะที่ออกแบบให้เป็นแอ่งรับน้ำชั่วคราวเมื่อฝนตกหนัก และสิงคโปร์มีสวน Gardens by the Bay ที่รวบรวมน้ำฝนเพื่อหล่อเลี้ยงพืชพรรณในสวนและผลิตพลังงาน
ทำไมเมืองฟองน้ำจึงได้รับความนิยม?
แนวคิดเมืองฟองน้ำกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากประโยชน์หลายประการที่ตอบโจทย์ความท้าทายของเมืองในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต
1
1
แก้ปัญหาน้ำท่วม
ช่วยดูดซับ กักเก็บ และระบายน้ำส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดการกับปัญหาน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลันได้ดี
  • ลดปริมาณน้ำท่วมขังบนผิวถนนได้ถึง 70-90% ในกรณีฝนตกหนักปานกลาง
  • ระบบรับน้ำแบบกระจายตัวช่วยลดความเสี่ยงจากการล้มเหลวของระบบระบายน้ำหลัก
  • พื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้จะช่วยชะลอการไหลของน้ำและลดความรุนแรงของน้ำท่วมฉับพลัน
ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม
พื้นที่สีเขียวช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น ลดอุณหภูมิในเมือง และสร้างระบบนิเวศที่หลากหลาย
  • ต้นไม้และพืชพันธุ์ช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศได้ถึง 20-45% ในพื้นที่เขตเมือง
  • ลดอุณหภูมิในเมืองได้ประมาณ 2-5 องศาเซลเซียส ช่วยบรรเทาปัญหาเกาะความร้อนในเมือง
  • พื้นที่ชุ่มน้ำในเมืองสามารถกรองมลพิษในน้ำและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพได้ถึง 30%
เพิ่มคุณภาพชีวิต
พื้นที่สีเขียวไม่เพียงดีต่อสุขภาพกาย แต่ยังช่วยบำรุงจิตใจให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง
  • การอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าได้ถึง 25% และลดความเครียดได้ 30%
  • สวนสาธารณะและทางเดินสีเขียวส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายและสุขภาพที่ดีขึ้น
  • พื้นที่สาธารณะที่ร่มรื่นส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง
ประหยัดในระยะยาว
ลดภาระค่าใช้จ่ายจากความเสียหายน้ำท่วม ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนบำบัดน้ำเสีย และเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
  • การศึกษาในประเทศจีนพบว่า ทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแบบเมืองฟองน้ำ จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจถึง 7 ดอลลาร์
  • อาคารที่มีหลังคาเขียวสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง 15-30% ต่อปี
  • มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวหรือคูคลองที่ได้รับการฟื้นฟูมีมูลค่าสูงขึ้น 5-15%
เมืองฟองน้ำจึงไม่ใช่เพียงแค่โครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วม แต่เป็นแนวทางการพัฒนาเมืองแบบองค์รวมที่ส่งผลดีในหลายมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทำให้หลายประเทศทั่วโลกต่างเริ่มนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับการพัฒนาเมืองของตนเอง
อู่ฮั่น: จากแม่น้ำร้อยสายสู่เมืองฟองน้ำ
เมืองอู่ฮั่นได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากอดีตที่เป็นเมืองแห่งแม่น้ำมากมาย สู่การเป็นต้นแบบนวัตกรรมการจัดการน้ำอย่าง "เมืองฟองน้ำ" ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
1
อดีต: เมืองแม่น้ำร้อยสาย
อู่ฮั่นเคยมีชื่อเสียงในฐานะ "เมืองแม่น้ำร้อยสาย" ด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำและแม่น้ำนับร้อยที่กระจายอยู่ทั่วเมือง โดยมีแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮั่นเป็นเส้นเลือดหลักของเมือง ทำให้อู่ฮั่นเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมทางน้ำมาเป็นเวลานับพันปี ระบบนิเวศน้ำที่อุดมสมบูรณ์นี้ยังเป็นแหล่งอาหารและวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น
2
ปัญหา: การพัฒนาที่รวดเร็ว
การพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติลดลง (เหลือแม่น้ำแค่ 30 สาย จาก 100 สาย) นำมาสู่ปัญหาน้ำท่วมรุนแรง โดยในช่วงปี 2000-2010 อู่ฮั่นประสบปัญหาน้ำท่วมเกือบทุกปี สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่าพันล้านหยวนต่อปี การถมพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อสร้างโรงงานและที่อยู่อาศัย ทำให้ดินซึมน้ำได้น้อยลง ขณะที่การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมยังทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลงอย่างมาก
3
2015: เริ่มโครงการเมืองฟองน้ำ
รัฐบาลจีนเลือกอู่ฮั่นเป็นหนึ่งใน 16 เมืองนำร่องโครงการ "เมืองฟองน้ำ" ด้วยงบประมาณกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการนี้มีเป้าหมายให้เมืองสามารถดูดซับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการสร้างสวนสาธารณะแบบดูดซับน้ำ 36 แห่ง พัฒนาถนนและทางเท้าที่น้ำซึมผ่านได้กว่า 400 กิโลเมตร และปรับปรุงระบบระบายน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้มากขึ้น
4
2016-2019: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในช่วงสี่ปีนี้ อู่ฮั่นได้ฟื้นฟูทะเลสาบกว่า 40 แห่ง และสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำใหม่กว่า 250,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังเปลี่ยนพื้นผิวถนนและลานจอดรถกว่า 2 ล้านตารางเมตรให้เป็นวัสดุที่น้ำซึมผ่านได้ ติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝนตามอาคารต่างๆ และจัดทำคู่มือการพัฒนาเมืองฟองน้ำสำหรับนักพัฒนาและผู้อยู่อาศัย ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
5
2020: ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
แม้เกิดฝนตกหนักที่สุดในรอบ 20 ปี อู่ฮั่นก็สามารถรับมือได้โดยไม่เกิดน้ำท่วมฉับพลัน คุณภาพน้ำในทะเลสาบหลักดีขึ้นจากระดับ 5 เป็นระดับ 3 ภายใน 3 ปี ระบบเมืองฟองน้ำยังช่วยให้อุณหภูมิในเมืองลดลง 2-3 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พบนกและสัตว์น้ำกลับมาอาศัยในพื้นที่มากขึ้น รวมถึงมูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยรอบพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นกว่า 15%
6
ปัจจุบัน: ต้นแบบระดับโลก
อู่ฮั่นได้กลายเป็นต้นแบบของเมืองฟองน้ำที่ประสบความสำเร็จ มีผู้เชี่ยวชาญและนักวางแผนเมืองจากทั่วโลกเดินทางมาศึกษาดูงาน นอกจากการจัดการน้ำแล้ว โครงการนี้ยังช่วยสร้างงานกว่า 5,000 ตำแหน่งในภาคการก่อสร้างและการดูแลรักษา รัฐบาลจีนได้ขยายแนวคิดนี้ไปยังเมืองอื่นๆ อีกกว่า 30 เมืองทั่วประเทศ และวางแผนลงทุนกว่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในทศวรรษหน้า
การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำในอู่ฮั่น
ถนนฟองน้ำ
ถนนฟองน้ำในเมืองอู่ฮั่นสร้างจากวัสดุที่น้ำสามารถซึมผ่านได้ดี สามารถดูดซับน้ำฝนได้ถึง 30% ช่วยลดน้ำท่วมขังบนถนนและเติมน้ำใต้ดิน วัสดุที่ใช้ประกอบด้วยคอนกรีตพรุนและอิฐระบายน้ำพิเศษที่มีความทนทานต่อการใช้งานหนัก แต่ยังคงคุณสมบัติการซึมผ่านของน้ำ นอกจากนี้ยังมีระบบการระบายน้ำอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับท่อระบายน้ำหลักของเมือง ช่วยจัดการน้ำฝนในช่วงมรสุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราการเกิดน้ำท่วมขังในเขตเมืองลดลงถึง 85% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการพัฒนา
ทะเลสาบ Qingshan
ทะเลสาบที่เคยถูกถมเพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ได้รับการฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาด 46,000 ตารางเมตร สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 400,000 ลูกบาศก์เมตร โครงการฟื้นฟูนี้เริ่มต้นในปี 2016 ด้วยการรื้อถอนโรงงานเก่าและขุดลอกตะกอนที่ปนเปื้อนสารพิษ ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้นำพืชท้องถิ่นมาปลูกเพื่อบำบัดน้ำและดินแบบธรรมชาติ ปัจจุบันทะเลสาบแห่งนี้กลายเป็นแหล่งอาศัยของนกอพยพกว่า 30 สายพันธุ์ และเป็นพื้นที่นันทนาการสำหรับชุมชนโดยรอบ คุณภาพน้ำได้รับการปรับปรุงจากระดับ 5 (แย่มาก) เป็นระดับ 2 (ดี) ภายในเวลาเพียง 4 ปี
สวนฝน
สวนฝนนับพันแห่งตามแนวถนนและในสวนสาธารณะ ทำหน้าที่กรองมลพิษจากน้ำฝนและชะลอการไหลของน้ำ ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ สวนฝนเหล่านี้ออกแบบโดยผสมผสานพืชพื้นเมืองที่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังและแห้งแล้ง เช่น กก อ้อ และดอกไม้ป่า กับชั้นดินและหินพิเศษที่ช่วยกรองสารปนเปื้อนออกจากน้ำฝน การศึกษาจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นพบว่าสวนฝนสามารถลดปริมาณไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในน้ำฝนได้ถึง 70% ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำหรือทะเลสาบ นอกจากนี้ยังมีโครงการให้ความรู้ประชาชนในการสร้างสวนฝนขนาดเล็กในบริเวณบ้าน ซึ่งมีครัวเรือนกว่า 5,000 ครัวเรือนเข้าร่วมโครงการนี้
ไทเป: เมืองฟองน้ำในดินแดนมรสุม
เมืองหลวงของไต้หวันเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำท่วมเป็นประจำ จึงพัฒนาโครงการเมืองฟองน้ำที่สร้างสรรค์เพื่อจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน
ความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ
ฤดูฝนนานกว่า 5 เดือน และพายุไต้ฝุ่นปีละ 3 ลูก ทำให้เมืองไทเปต้องเผชิญปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงถึง 2,900 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองใหญ่ทั่วโลก 2 เท่า ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งในพื้นที่เมือง
แนวคิด "อยู่ร่วมกับน้ำ"
เน้นการ "ปรับตัว" มากกว่าการ "ป้องกัน" โดยมองว่าน้ำไม่ใช่ศัตรูที่ต้องต่อสู้ แต่เป็นทรัพยากรที่ต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด นำแนวคิดจากโครงการเมืองฟองน้ำของจีนมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของไทเป แทนที่จะสร้างกำแพงกั้นน้ำหรือท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ ไทเปเลือกที่จะสร้างระบบดูดซับ กักเก็บ และนำน้ำกลับมาใช้ประโยชน์
3
โครงการ Sponge City Taipei
เริ่มต้นในปี 2015 เพื่อเพิ่มศักยภาพต้านทานน้ำท่วม ด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มุ่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้สามารถรับมือกับน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการสร้างพื้นที่สีเขียว การติดตั้งหลังคาสีเขียว การปรับปรุงพื้นผิวถนนให้น้ำซึมผ่านได้ และการสร้างระบบกักเก็บน้ำใต้ดิน โครงการนี้ตั้งเป้าให้เมืองสามารถดูดซับน้ำฝนได้ถึง 70% ภายในปี 2030
การมีส่วนร่วมของประชาชน
สร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการสร้าง "สวนฝน" ในบ้าน ผ่านโครงการประชาสัมพันธ์และการให้เงินอุดหนุนแก่ครัวเรือนที่ติดตั้งระบบเก็บน้ำฝนหรือสวนหลังคา รัฐบาลเมืองไทเปจัดการอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนทุกเดือน และมีโครงการ "Sponge School" ที่นำแนวคิดเมืองฟองน้ำเข้าสู่หลักสูตรการศึกษา เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกการอยู่ร่วมกับน้ำตั้งแต่วัยเยาว์
ผลลัพธ์จากโครงการเมืองฟองน้ำของไทเปในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการลดน้ำท่วมถึง 35% ในพื้นที่นำร่อง และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการน้ำท่วมได้มากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว
โครงการเมืองฟองน้ำในไทเป
โครงการเมืองฟองน้ำ (Sponge City) ในไทเปเป็นตัวอย่างความสำเร็จระดับโลกในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตเมือง โดยใช้แนวคิดการให้เมืองดูดซับน้ำฝนเหมือนฟองน้ำแทนการไหลบ่าลงสู่ท่อระบายน้ำเพียงอย่างเดียว
260,000
ตารางเมตร
ขนาดของสวนสาธารณะ Daan Forest Park ที่ปรับเป็นสวนฟองน้ำขนาดใหญ่ใจกลางเมือง
5,000
ลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำฝนที่สวน Daan Forest Park สามารถกักเก็บได้
173,819
ตารางเมตร
พื้นที่ถนน ทางเท้า และลานจอดรถที่ปรับเป็นพื้นผิวดูดซับน้ำ (เทียบเท่าสนามบาสเกตบอล 417 สนาม)
17.85%
ลดน้ำฝนไหลล้น
พื้นผิวดูดซับน้ำสามารถลดปริมาณน้ำฝนที่ไหลล้นออกสู่ท้องถนนได้สูงสุด
การปรับเปลี่ยนพื้นที่เมืองให้เป็นฟองน้ำช่วยลดปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ไทเปต้องเผชิญกับฝนตกหนักต่อเนื่อง เทคโนโลยีการดูดซับน้ำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วม แต่ยังส่งเสริมการใช้น้ำอย่างยั่งยืนอีกด้วย
แผนการในอนาคตของโครงการมุ่งเน้นการขยายพื้นที่ดูดซับน้ำให้ครอบคลุมร้อยละ 20 ของพื้นที่เมืองภายในปี 2030 และส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาอาคารและพื้นที่ที่เป็นมิตรกับน้ำมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการสร้าง "สวนฝน" ขนาดเล็กในบ้านเรือนของตนเอง
ประโยชน์ของถนนฟองน้ำในไทเป
1
ดูดซับน้ำฝน
ใช้วัสดุพิเศษ PAC (Permeable Asphalt Concrete) ที่น้ำซึมผ่านได้ดี สามารถดูดซับน้ำฝนได้มากถึง 4-6 นิ้วต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่าปริมาณฝนตกหนักในไทเปที่เฉลี่ย 3 นิ้วต่อชั่วโมง ทำให้ลดน้ำท่วมขังบนถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงมรสุม
นำน้ำกลับมาใช้
น้ำฝนที่ดูดซับไว้นำไปใช้ในสวนสาธารณะและโรงเรียนกว่า 30 แห่งทั่วเมือง ช่วยประหยัดการใช้น้ำประปาได้มากกว่า 170 ล้านลิตรต่อปี ระบบกักเก็บน้ำใต้ดินทำงานร่วมกับระบบกรองน้ำธรรมชาติ ทำให้น้ำที่นำกลับมาใช้มีคุณภาพดีเหมาะแก่การรดน้ำพืชและทำความสะอาด
ลดอุณหภูมิเมือง
ลดอุณหภูมิที่พื้นผิวถนนลงได้ 2.05-3.53 องศาเซลเซียส ช่วยบรรเทาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) ได้อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันพบว่าพื้นที่ที่ใช้ถนนฟองน้ำมีความเย็นสบายมากกว่าพื้นที่ที่ใช้ถนนดั้งเดิมถึง 14% ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
เพิ่มพื้นที่สีเขียว
การออกแบบถนนฟองน้ำมาพร้อมกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวริมถนนและทางเดินเท้า ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในเขตเมือง จากการสำรวจพบว่ามีพืชพื้นถิ่นมากกว่า 25 สายพันธุ์เติบโตได้ดีในพื้นที่เหล่านี้ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกและแมลงที่เป็นประโยชน์กว่า 30 ชนิด
ประหยัดงบประมาณระยะยาว
แม้การลงทุนเริ่มต้นจะสูงกว่าถนนทั่วไปประมาณ 15-20% แต่การศึกษาทางเศรษฐศาสตร์พบว่าในระยะยาว 15 ปี ถนนฟองน้ำช่วยประหยัดงบประมาณการซ่อมแซมความเสียหายจากน้ำท่วมได้มากกว่า 38% และลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดการน้ำเสียได้ถึง 25% คิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
ถนนฟองน้ำในไทเปเป็นตัวอย่างที่ดีของการปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ความสำเร็จของโครงการนี้ทำให้ไทเปได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นหนึ่งในเมืองต้นแบบด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้รับรางวัล C40 Cities Bloomberg Philanthropies Award ในปี 2019 ปัจจุบันมีผู้แทนจากกว่า 15 ประเทศทั่วโลกเดินทางมาศึกษาดูงานเพื่อนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในเมืองของตน รวมถึงกรุงเทพมหานครที่เริ่มนำร่องโครงการในบางพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมที่เรื้อรังมานาน
ความท้าทายด้านการจัดการน้ำของกรุงเทพฯ
ภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม
ระดับความสูงเฉลี่ยเพียง 1.5 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บางพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะในฤดูมรสุมที่มีปริมาณน้ำฝนสูง น้ำไม่สามารถระบายออกสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยระบบสูบน้ำขนาดใหญ่ช่วยเร่งการระบาย
การทรุดตัวของแผ่นดิน
ผลจากการสูบน้ำบาดาลมาใช้อย่างหนัก บางพื้นที่ทรุดตัวลงปีละ 2 เซนติเมตร นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ากรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลภายในปี 2050 แม้จะมีการออกกฎหมายควบคุมการใช้น้ำบาดาลตั้งแต่ปี 2526 แต่ปัญหาก็ยังคงดำเนินต่อไป จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล พบว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีอัตราการทรุดตัวสูงสุด
การเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว
การขยายตัวของพื้นที่เมืองทำให้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติลดลง ทุ่งนาและคลองเก่าแก่ถูกถมเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและถนน จากการศึกษาพบว่าพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ ลดลงกว่า 30% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความสามารถในการซึมซับน้ำของพื้นดินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดฝนตกหนักและพายุที่รุนแรงมากขึ้น สถิติจากกรมอุตุนิยมวิทยาแสดงให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 15% และมีจำนวนวันที่ฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตรต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ระบบระบายน้ำที่ล้าสมัย
ระบบระบายน้ำส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ออกแบบมาตั้งแต่ 30-50 ปีก่อน ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่อระบายน้ำมีขนาดเล็กและมักอุดตันด้วยขยะและตะกอน การปรับปรุงระบบต้องใช้งบประมาณสูงถึงหลายหมื่นล้านบาทและต้องใช้เวลานานในการก่อสร้าง
ข้อจำกัดด้านนโยบายและการบริหารจัดการ
การจัดการน้ำในกรุงเทพฯ เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นข้างเคียง การประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและนโยบายที่ขาดความต่อเนื่องเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน
ความท้าทายเหล่านี้ทำให้กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซากเกือบทุกปี ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนกว่า 10 ล้านคน จำเป็นต้องมีการพัฒนาแนวทางใหม่ๆ เช่น "เมืองฟองน้ำ" (Sponge City) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
โอกาสที่กรุงเทพฯ จะกลายเป็นเมืองฟองน้ำ
การเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองฟองน้ำต้องใช้งบประมาณมหาศาล ประมาณ 467-700 ล้านบาทต่อตารางกิโลเมตร ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัย Haifeng Jia จากประเทศจีน แต่หากมองไปยังเมืองไทเปและอู่ฮั่นที่มีลักษณะภูมิประเทศและปัญหาคล้ายคลึงกัน ก็ยังมีความหวัง การเริ่มต้นต้องอาศัยการศึกษาความเป็นไปได้ การวางแผนระยะยาว และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เมืองฟองน้ำคืออะไร?
แนวคิด "เมืองฟองน้ำ" หรือ Sponge City เป็นแนวทางการจัดการน้ำในเมืองที่พัฒนาขึ้นในประเทศจีน เปรียบเสมือนฟองน้ำที่สามารถดูดซับน้ำฝนได้มาก กักเก็บไว้ใช้ และค่อยๆ ปล่อยออกอย่างช้าๆ แทนที่จะปล่อยให้น้ำไหลบ่าท่วมถนนและบ้านเรือน การออกแบบเมืองฟองน้ำประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวหลากหลายรูปแบบ เช่น สวนฝน พื้นผิวซึมน้ำ หลังคาเขียว และการฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ
ความท้าทายหลักสำหรับกรุงเทพฯ
จากแผนภูมิข้างต้น เราเห็นได้ว่างบประมาณเป็นความท้าทายสูงสุด (ระดับ 9) ในการพัฒนาเมืองฟองน้ำในกรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่และสร้างระบบใหม่ รองลงมาคือปัญหาเรื่องภูมิประเทศ (ระดับ 8) เนื่องจากกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและมีระดับความสูงใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล
ส่วนด้านนโยบาย (ระดับ 7) ยังขาดความต่อเนื่องและการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่การมีส่วนร่วมของประชาชน (ระดับ 6) ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ด้านเทคโนโลยี (ระดับ 4) นับว่าเป็นความท้าทายน้อยที่สุด เพราะปัจจุบันมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ยาก
กรณีศึกษาความสำเร็จจากต่างประเทศ
นอกจากเมืองไทเปและอู่ฮั่นที่กล่าวถึงข้างต้น ประเทศจีนได้กำหนดให้มีเมืองนำร่องด้านเมืองฟองน้ำกว่า 30 เมือง เช่น เซี่ยงไฮ้ เมืองเฉิงตู และนครปักกิ่ง โดยเฉพาะในเมืองอู่ฮั่น การสร้างทะเลสาบเทียมและพื้นที่ชุ่มน้ำกว่า 200 แห่ง สามารถช่วยป้องกันน้ำท่วมและเก็บกักน้ำฝนได้มากถึง 70% ในช่วงฤดูมรสุม
ประเทศสิงคโปร์ก็ดำเนินโครงการ "Active, Beautiful, Clean Waters (ABC Waters)" ที่ปรับปรุงคลอง แม่น้ำ และอ่างเก็บน้ำให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่สวยงามและมีประโยชน์หลายด้าน ส่วนเมืองร็อตเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ได้พัฒนา "Water Squares" หรือลานน้ำที่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่สาธารณะในยามปกติและเป็นแก้มลิงในช่วงฝนตกหนัก
โอกาสและความเป็นไปได้สำหรับกรุงเทพฯ
การเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองฟองน้ำต้องใช้งบประมาณมหาศาล ประมาณ 467-700 ล้านบาทต่อตารางกิโลเมตร ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัย Haifeng Jia จากประเทศจีน แต่หากมองไปยังเมืองไทเปและอู่ฮั่นที่มีลักษณะภูมิประเทศและปัญหาคล้ายคลึงกัน ก็ยังมีความหวัง การเริ่มต้นต้องอาศัยการศึกษาความเป็นไปได้ การวางแผนระยะยาว และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
สำหรับกรุงเทพฯ พื้นที่ศักยภาพที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการนำร่องได้ เช่น การฟื้นฟูคลองเก่าแก่ให้เป็นพื้นที่รับน้ำและนันทนาการ การปรับปรุงสวนสาธารณะให้เป็นสวนฝน (Rain Garden) และการส่งเสริมการติดตั้งหลังคาเขียว (Green Roof) ในอาคารรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาถนนและทางเท้าที่ซึมน้ำได้ในพื้นที่นำร่อง
ถึงแม้จะมีความท้าทายสูง แต่ผลลัพธ์ที่จะได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งการลดความเสียหายจากน้ำท่วม การเพิ่มแหล่งน้ำสำรอง การปรับปรุงคุณภาพน้ำ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ให้กับเมือง ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน
ก้าวต่อไปสู่การเป็นเมืองฟองน้ำของไทย
ศึกษาความเป็นไปได้
วิเคราะห์พื้นที่เหมาะสม ประเมินต้นทุนและผลตอบแทน พิจารณาปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ลักษณะการระบายน้ำ และสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่
จัดทำแผนที่ความเสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่รับน้ำเพื่อกำหนดจุดที่ต้องการการแก้ไขเร่งด่วน และศึกษาความสำเร็จจากเมืองต้นแบบในประเทศจีนและไต้หวันเพื่อประยุกต์ใช้
สร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วม
ให้ความรู้ประชาชน สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จัดทำคู่มือและแนวทางการปฏิบัติสำหรับเจ้าของที่ดินและอาคาร
จัดเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างแรงจูงใจทางภาษีและสิทธิประโยชน์สำหรับอาคารที่ติดตั้งระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการสร้างชุมชนต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ
วางแผนระยะยาว
กำหนดพื้นที่นำร่อง จัดทำแผนแม่บทการพัฒนา บูรณาการเข้ากับผังเมืองและแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต
กำหนดเป้าหมายระยะยาว 10-20 ปี ในการเพิ่มพื้นที่รับน้ำ พื้นที่สีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนการประเมินผลและปรับปรุงแผนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เริ่มต้นจากโครงการขนาดเล็ก
สวนฝนในชุมชน หลังคาเขียว ถนนซึมน้ำในพื้นที่นำร่อง พัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เป็นพื้นที่รับน้ำและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
ส่งเสริมการใช้วัสดุซึมน้ำในทางเท้าและลานจอดรถ ปรับปรุงระบบระบายน้ำเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝนในอาคารสาธารณะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
การพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองฟองน้ำอาจไม่สามารถทำได้ในพริบตา แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน เราสามารถเรียนรู้จากเมืองต้นแบบและประยุกต์ใช้แนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพฯ เพื่อสร้างเมืองฟองน้ำในแบบฉบับของเราเอง เพื่อให้วันหนึ่ง ฝันของเมืองที่ยั่งยืนและพร้อมรับมือกับภัยน้ำท่วม จะไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงสู่เมืองฟองน้ำไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม แต่ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดมลพิษทางอากาศ และบรรเทาปัญหาเกาะความร้อนในเมือง ประสบการณ์จากเมืองเซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่นแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่าในระยะยาว
ความท้าทายสำคัญของกรุงเทพฯ คือการจัดการกับพื้นที่ที่มีการพัฒนาอย่างหนาแน่นและระดับน้ำใต้ดินที่สูง การพัฒนาเมืองฟองน้ำจึงต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของพื้นที่ ไม่ใช่เพียงลอกเลียนแบบโมเดลจากต่างประเทศ แต่ต้องปรับใช้องค์ความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและวัฒนธรรมของไทย โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการน้ำที่ยั่งยืนและเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทย